วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558
กลุ่มประเทศโลกที่ 1 กลุ่มประเทศโลกที่ 2 กลุ่มประเทศโลกที่ 3 คืออะไร สรุปโดยย่อ
ประเทศโลกที่ 1 คือประเทศที่พัฒนาแล้ว ปกครองโดยระบอบ ประชาธิปไตย และมีระบบเศรษฐกิจทุนนิยม (และอยู่ฝั่งเดียวกับอเมริกา สหราชอาณาจักร)
ประเทศโลกที่ 2 คือประเทศที่พัฒนาแล้ว ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ เช่น โซเวียต ยูโกสลาเวีย สวนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันออก (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอเมริกา สหราชอาณาจักร)
ประเทศโลกที่ 3 คือกลุ่มประเทศที่ถือนโยบายเป็นกลาง(ไม่เข้าข้าง ประเทศโลกที่ 1 และ ประเทศโลกที่ 2) ส่วนใหญ่อยู่ตามละตินอเมริกา แอฟริกาและเอเซีย โดยมากกำลังพัฒนาหรือเพิ่งจะพัฒนา (กลุ่มประเทศโลกที่ 3 เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด)
ตอนนี้กลุ่มประเทศโลกที่ 2 ไม่มีแล้ว หลังระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกล่มสลาย กลุ่มประเทศโลกที่ 2 ก็สลายตัวไปด้วย (แต่แนวความคิดยังมีอยู่) ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติ แบ่งประเทศต่างๆ "เป็นพัฒนาแล้ว" และ "กำลังพัฒนา" เท่านั้น
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เทคโนโลยี RAID
RIAD (Redundant Array of Independent Disks) หรือบางที่เรียกว่า (Redundant Arrays of Inexpensive Disks ) ตามชื่อเดิมที่เทคโนโลยีนี้ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรก
RAID คือชื่อของเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อความเป็นเสถียรภาพ ขนาดความจุ และความรวดเร็วของข้อมูล โดยการใช้ดิสก์หลายๆตัวมาต่อกันแบบ array ให้เสมือนว่าเป็นดิสก์ขนาดใหญ่ตัวเดียวกัน (Logical Drive) โดยคุณสมบัติที่จะได้จากการทำ RAID คือจะทำให้มีพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น และลดการศูนย์เสียข้อมูลหากว่ามีดิกส์ตัวใดตัวหนึงในระบบเกิดเสียหาย ระบบก็ยังคงทำงานต่อไปได้ด้วยดิกส์ตัวอื่นๆ โดยไม่ต้องรอการซ่อมแซมที่จะมาขัดจังหวะการทำงานของระบบ กล่าวคือ การใช้งานฮาร์ดดิสก์ โดยปกติทั่วไปเราจะจัดเก็บข้อมูลไว้บนฮาร์ดดิสก์แบบ Single ไม่ว่าจะมี ฮาร์ดดิสก์ ในคอมกี่ตัว จะ 1 ตัว 2 ตัว 3 ตัว แต่ทุกตัวล้วนเก็บข้อมูลของใครของมัน ถ้าวันหนึงฮาร์ดดิสก์เสีย ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย
แต่ถ้าหากเพิ่มฮาร์ดดิสก์ เข้าไปเป็นคู่ขนานกัน เวลาข้อมูลบันทึกลงฮาร์ดดิสก์ตัวแรก ก็จะบันทึกลงฮาร์ดดิสก์ตัวคู่ขนานอีกตัวด้วยเสมอ ถ้าเกิดตัวหนึงตัวใดพังไประบบจะยังคงทำงานต่อไปได้ และนอกจากจะเป็นการเพิ่มเสถียรภาพในการจัดเก็บข้อมูลแล้ว RAID ยังช่วยให้ลดต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลอีกด้วย เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากๆนั้น จะมีราคาที่สูงมาก อย่างเช่น Database Serverถ้าเราใช้ฮาร์ดดิสก์ความจุสูงเพียงตัวเดียวในการเก็บข้อมูล นอกจากฮาร์ดดิสก์นั้นจะมีราคาแพงแล้ว ถ้าหากว่าฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นเกิดพังขึ้นมาข้อมูลที่เก็บอยู่ก็จะสูญเสียไปด้วย ซึ่งไม่คุ้มค่าหากใช้ฮาร์ดดิสก์ความจุสูงราคาแพงเพียงตัวเดียว
ประวัติความเป็นมา
ในปี ค.ศ. 1987 Patterson, Gibson และ Katz ทั้ง 3 คนซึ่งทำงานอยู่ที่ University of California Berkeley ไดตีพิมพบทความที่ชื่อว่า A Case for Redundant Arrays of Inexpensive Disks โดยเอกสารนี้ไดบรรยายถึงชนิดของดิสกอะเรยประเภทตางๆ โดยมีเรียกย่อๆว่า RAID หลักการพื้นฐานของ RAID มาจากแนวความคิดที่ว่า ถ้านำฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุน้อยหลายๆตัวมาต่อรวมกันประสิทธิภาพที่ได้จากการใช้งานจะมากกว่าใช้ดิสก์ขนาดใหญ่เพียงตัวเดียวโดยเมื่อเอาดิสก์มารวมกันแล้วคอมพิวเตอร์จะต้องเห็นว่าเป็นดิสก์ขนาดใหญ่เพียงตัวเดียว (LogicalDrive) ซึ่งระบบนี้ถูกสร้างครั้งแรกจากการวิจัยของมหาวิทยาลัย University of California Berkeley เทคโนโลยี RAID นี้ได้ถูกพัฒนาขึ้ต่อเนื่องมาอีกหลายปี เพื่อประสิทธิภาพความรวดเร็วปลอดภัย มีเสถียรภาพในการจัดเก็บข้อมูล
Striping
คือวิธีในการจัดเก็บข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ โดยจะเป็นการแบ่งข้อมูลขนาดใหญ่ออกเป็นส่วนๆ และจัดเก็บลงบนดิสก์ ถ้าเรามีไฟล์ขนาดใหญ่มากอยู่บนดิสก์และเราต้องการจะอ่านมัน ซึ่งวิธีการดั้งเดิมของระบบคือ ระบบจะทำการอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งทำให้การเรียกข้อมูลนั้นเป็นไปด้วยความล่าช้า
วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
การนับข้อมูลซ้ำด้วย Microsoft Excel
ถ้าต้องการนับรายการที่ซ้ำว่า ที่ซ้ำ ซ้ำกันเท่าไหร่ สามารถทำได้ดังนี้
วิธีที่ 1 นับด้วยฟังก์ชัน =COUNTIF()
ที่คอลัมน์ E1 ป้อนสูตร =COUNTIF(A:A,A1) แล้วคัดลอกสูตร จะได้ผลลัพธ์ ดังนี้
วิธีที่ 2 นับด้วยเครื่องมือ Pivot Table
คลิกเม้าส์ ตรงตำแหน่งเซลล์ว่างที่ต้องการให้ข้อมูลปรากฏ เสร็จแล้วเลือกเมนู Insert > Pivot Table ตรง Select a table or range ให้เลือกช่วงของข้อมูลที่จะนับ แล้วกด OK
จากนั้นจะปรากฏแถบหน้าต่าง PivotTable Field List ด้านขวามือ ดังรูป
ลากเขตข้อมูล "รายการ" ในช่อง Choose fields to add to report:
มาไว้ในกรอบ Row Labels และกรอบ Values ดังรูป
จะสังเกตุเห็นว่าตรงตำแหน่งที่กำหนดให้เขตข้อมูลสรุปจาก PivotTable จะปรากฏข้อมูลนับจำนวนซ้ำตามรูปด้านบน
วิธีที่ 1 นับด้วยฟังก์ชัน =COUNTIF()
ที่คอลัมน์ E1 ป้อนสูตร =COUNTIF(A:A,A1) แล้วคัดลอกสูตร จะได้ผลลัพธ์ ดังนี้
วิธีที่ 2 นับด้วยเครื่องมือ Pivot Table
คลิกเม้าส์ ตรงตำแหน่งเซลล์ว่างที่ต้องการให้ข้อมูลปรากฏ เสร็จแล้วเลือกเมนู Insert > Pivot Table ตรง Select a table or range ให้เลือกช่วงของข้อมูลที่จะนับ แล้วกด OK
จากนั้นจะปรากฏแถบหน้าต่าง PivotTable Field List ด้านขวามือ ดังรูป
ลากเขตข้อมูล "รายการ" ในช่อง Choose fields to add to report:
มาไว้ในกรอบ Row Labels และกรอบ Values ดังรูป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)